Wednesday, July 28, 2010

Professer Kriengsak Chareonwongsak and social work

งานสังคม (social work) หมายถึง งานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยแก้ปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหา หรือไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ตัวอย่างของงานสังคมที่พบอยู่ในประเทศไทย อาทิเช่น งานสังคมสงเคราะห์ งานสาธารณประโยชน์ งานพัฒนาชุมชน ประชาสังคม การเรียกร้องสิทธิของผู้ที่ยากไร้และขาดอำนาจต่อรอง ฯลฯ

ผู้ที่ทำงานสังคมจำนวนมากเป็นผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญหรือรุนแรงของปัญหาสังคม และเสียสละตัวเอง และอาสาตัวเข้าไปทำงานนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน เช่น อาสาสมัคร ผู้นำชุมชน ผู้ที่ทำงานในมูลนิธิ หรือสมาคมต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ผลงานวิจัยและข้อมูลที่ปรากฏยืนยันว่า การทำงานสังคมโดยอาสาสมัคร และองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนมากในประเทศไทย ยังขาดประสิทธิภาพ ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวความคิดของผู้ที่ทำงานสังคม ที่เน้นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนหรือแสวงหากำไร จึงอาจทำให้เขาละเลยที่จะประเมินประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร และผลที่ได้รับจากการทำงานเพื่อสังคม

แม้ว่าผู้ที่ทำงานสังคมจะไม่ได้มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ แต่ผมเห็นว่า ผู้ที่ทำงานสังคมไม่ควรละเลยแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เพราะผมเชื่อว่า หากเขาเหล่านั้นนำวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในงานสังคม จะทำให้การใช้ทรัพยากรและการทำงานสังคมมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียอุดมการณ์แต่อย่างใด

โดยผมขอนำเสนอแนวคิดเศรษฐศาสตร์บางแนวคิดในบทความนี้
ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)
ต้นทุนค่าเสียโอกาส หมายถึง ผลตอบแทนที่มากที่สุดจากทางเลือกที่ไม่ถูกเลือก หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า หากเรามีทางเลือกในการใช้ทรัพยากรอยู่หลายทาง แต่ละทางเลือกมีผลตอบแทนจากการใช้ทรัพยากรไม่เท่ากัน หากเราเลือกทางเลือกที่มิได้ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ต้นทุนค่าเสียโอกาสจะมีค่าเท่ากับทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด

แต่หากเลือกทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ต้นทุนค่าเสียโอกาส จะมีค่าเท่ากับทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากเป็นอันดับสอง ต้นทุนค่าเสียโอกาสแตกต่างจากต้นทุนทางบัญชีที่มองเฉพาะต้นทุนทางการเงินเท่านั้น แต่นักเศรษฐศาสตร์นำค่าเสียโอกาสมาคำนวณเป็นต้นทุนด้วย

การทำงานสังคมจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเช่นเดียวกับงานประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ และแรงงาน แต่ผู้ที่ทำงานสังคมส่วนหนึ่งอาจละเลยต้นทุนค่าเสียโอกาสในการนำทรัพยากรต่างๆ มาใช้ในการทำงานสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นทุนที่ไม่เป็นตัวเงินหรือต้นทุนที่มองไม่เห็น (implicit cost) เช่น ต้นทุนแรงงานที่เป็นอาสาสมัครในงานเพื่อสังคม ซึ่งอาจจะไม่ถูกนำมาคิดเป็นต้นทุนในการทำงาน หรือไม่ถูกนำมาคิดในการประเมินผลการทำงานสังคม

ยิ่งไปกว่านั้น งานสังคมจำนวนหนึ่งอาจใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น (Overcapacity) โดยเฉพาะการระดมอาสาสมัครจำนวนมากเกินกว่างานที่มีอยู่หรือคนล้นงาน และการใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงานหรือให้งานที่ไม่ถนัดหรือต่ำกว่าระดับความสามารถ เช่น นักวิชาการอ่านหนังสือบันทึกเสียงให้คนตาบอดฟัง แพทย์เดินรับบริจาคเงิน นักธุรกิจไปเยี่ยมชนบท

แม้ว่าการทำงานอาสาสมัครเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่มีต้นทุนค่าเสียโอกาสเป็นจำนวนมาก และอาจมีทางเลือกอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการทำงานสังคม

ผลตอบแทนต่อสังคมมากกว่าต้นทุนต่อสังคม

แนวคิดอีกประการที่ผู้ทำงานสังคมควรคำนึงถึง คือ การใช้ทรัพยากรเพื่อทำงานสังคม
ต้องทำให้เกิดผลตอบแทนต่อสังคมหน่วยสุดท้าย (Marginal Social Benefit) มากกว่า ต้นทุนต่อสังคมหน่วยสุดท้าย (Marginal Social Cost)
หมายความว่า ต้นทุนแต่ละหน่วยที่สังคมต้องจ่ายเพิ่มเข้าไปในงานสังคมนั้น จะต้องให้ผลตอบแทนต่อสังคมเพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนที่เพิ่มเข้าไป จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการทำงานสังคมที่มีประสิทธิภาพ
การตัดสินใจของผู้ที่ทำงานสังคมในการเลือกว่า จะทำงานสังคมประเภทใด และใช้ทรัพยากรสำหรับแต่ละงานเท่าไร ควรพิจารณาด้วยหลักการข้างต้น

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ทำงานสังคมจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัญหาสังคม และทางเลือกในการทำงานสังคมให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะเลือกและจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ไปในงานที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนมากที่สุด และทำให้ปัญหาสังคมได้รับการแก้ไข และผู้ที่มีปัญหาได้รับการช่วยเหลือในระดับที่เหมาะสมและทั่วถึง

ประการสำคัญผู้ทำงานสังคมควรพิจารณาศักยภาพของตน เครือข่ายอาสาสมัครและทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อจัดสรรกำลังคนและทรัพยากรไปในงานที่เหมาะสม ในปัญหาสังคมหนึ่งๆ ผู้ทำงานสังคมต้องพิจารณาว่าวิธีการทำงานแบบใด ที่มีต้นทุนต่ำและผลตอบแทนต่อสังคมสูงสุด

ผู้ทำงานสังคมบางท่านอาจมีศักยภาพในการบริหารธุรกิจมากกว่าการทำงานสังคมโดยตรง ดังนั้น การที่เขาผันตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Entrepreneur) โดยทำธุรกิจเพื่อหาเงินมาทำงานสังคม หรือเป็นนักธุรกิจเพื่อหาเงินมาบริจาคให้กับคนที่ทำงานสังคม หรือจ้างคนมาทำงานสังคม อาจเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนค่าเสียโอกาสต่ำกว่า และเกิดประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าการลงไปทำงานสังคมด้วยตนเองโดยตรง
เช่น บิล เกตส์ ควรทุ่มเทเวลาทำงานกับบริษัทไมโครซอฟท์ แล้วนำกำไรไปสนับสนุนคนอื่น หรือหน่วยงานอื่นทำงานแก้ปัญหาสังคม น่าจะดีกว่าผันตัวมาเป็นผู้ทำงานสังคมโดยตรง

ในสภาวะที่การทำงานสังคมในประเทศไทยมีทรัพยากรจำกัด หากผู้ทำงานสังคมนำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ น่าจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการตอบสนองความต้องการทางสังคม และการแก้ปัญหาสังคมที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก

2 comments:

  1. Social Entrepreneur
    ธุรกิจเพื่อหาเงินมาทำงานสังคม

    ReplyDelete
  2. ผู้ที่ทำงานสังคมจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัญหาสังคม และทางเลือกในการทำงานสังคมให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะเลือกและจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ไปในงานที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนมากที่สุด และทำให้ปัญหาสังคมได้รับการแก้ไข และผู้ที่มีปัญหาได้รับการช่วยเหลือในระดับที่เหมาะสมและทั่วถึง

    ReplyDelete