ค่าจ้างขั้นต่ำ 250 บาท ทั่วประเทศ!!
ที่มาของภาพ http://hilight.kapook.com/img_cms2/sport/100_14.jpg
เมื่อเร็วๆ นี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3
สถาบัน (กกร.) ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดนายกรัฐมนตรี
ที่ต้องการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 250 บาทต่อวัน
อัตราเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นในการถกเถียง
อย่างกว้างขวางในสื่อต่างๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
โดยแรงงานส่วนใหญ่แสดงความเห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
เนื่องจากตนเองได้รับประโยชน์
ขณะที่นักวิชาการและนักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
เนื่องจากเห็นว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า
ซึ่งเป็นอาการที่คาดเดาได้แทบจะทุกครั้งที่มีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
สำหรับการโยนหินถามทางของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันดังนี้
ควรขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทหรือไม่?
ในความเห็นส่วนตัว ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน แรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำยังมีภาวะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก โดยแรงงานไร้ฝีมือในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 6 จังหวัดได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 206 บาทต่อวันใน
ขณะที่จังหวัดอื่นได้รับค่าจ้างลดหลั่นกันลงไปถึงกระนั้น
การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมีปัจจัยและเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือ
แรงงานควรได้รับค่าจ้างเท่ากับผลผลิตส่วนเพิ่มที่แรงงานผลิตได้
(หรือผลิตภาพของแรงงาน) หรือหมายความว่า แรงงานควรได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น
หากสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น
สำหรับข้อเสนอการเพิ่ม
ค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันมีความเหมาะสมหรือไม่นั้น
จึงควรพิจารณาว่าเป็นระดับค่าจ้างที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของ
แรงงานหรือไม่ หากแรงงานในระบบมีผลิตภาพเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับค่าจ้าง 250
บาทต่อวัน รัฐบาลก็ควรขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามข้อเสนอนี้
แต่หากผลิตภาพของแรงงานต่ำกว่า ค่าจ้างขั้นต่ำก็ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นถึง 250
บาทต่อวัน
เพราะการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานในช่วงเวลา
หนึ่งๆ นั้น เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ผลิต โดยทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น
โดยผลผลิตไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ผู้ผลิตอาจหันไปลงทุนในเทคโนโลยีมากขึ้น
หรืออาจหันไปใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่มีราคาถูกกว่า
ซึ่งทำให้แรงงานไทยมีการว่างงานเพิ่มขึ้น
อย่างไร
ก็ดี ในกรณีที่ผู้สนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวันทันที
โดยให้เหตุผลว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานถึงประมาณ 4
เท่านั้น ผมเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างอย่างรวดเร็วเกินไป
อาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา
เนื่องจากระดับราคาสินค้าสูงขึ้นจากการที่แรงงานมีราคาแพงขึ้น
และที่สำคัญยังอาจทำให้แรงงานที่มีอยู่ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาความรู้ความ
สามารถเพื่อที่จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากไม่ต้องทำอะไร
ก็ได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรพิจารณาถึงภาวะของตลาดแรงงานด้วย
เพราะค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับระดับค่าจ้างที่เป็นไปตามกลไกตลาดนั้น
จะไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้
หรือหากภาครัฐสามารถบังคับให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามค่าแรงขั้นต่ำได้จริง
แต่ค่าจ้างขั้นต่ำกลับสูงกว่าอัตราค่าจ้างในท้องตลาด
จะเป็นการผลักดันให้นายจ้างต้องลดการจ้างงานในระบบลง
ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการว่างงานมากขึ้น
หรือทำให้แรงงานต้องออกไปอยู่นอกระบบมากขึ้น
ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวกันทั่วประเทศหรือไม่?
ประเด็น
นี้ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็น
เนื่องจากผลิตภาพของแรงงานและความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัดจึงไม่สอดคล้องกับต้นทุนการครองชีพ
ของแรงงานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ใน
กทม.และปริมณฑลมากขึ้น ไม่เกิดการกระจายตัวของการลงทุนไปยังต่างจังหวัด
และทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานใน กทม.
แต่แรงงานในต่างจังหวัดกลับมีจำนวนแรงงานมากเกินความต้องการ
ซึ่งจะทำให้เกิดการอพยพของแรงงานเข้ามาทำงานใน กทม. มากขึ้นไปอีก
แม้
ว่าผู้สนับสนุนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศได้ให้เหตุผลว่า
ค่าครองชีพในต่างจังหวัดสูงกว่าในกรุงเทพฯและปริมณฑล
โดยอ้างถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและราคาสินค้า
เพราะสินค้าส่วนใหญ่ผลิตจากกรุงเทพฯและปริมณฑลแล้วขนส่งไปยังต่างจังหวัด
แม้เหตุผลนี้อาจเป็นจริงก็ตาม แต่ผมเห็นว่า
ค่าใช้จ่ายของแรงงานแต่ละคนยังมีค่าใช้จ่ายด้านที่พักอาศัย
ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนสูง
และเป็นต้นทุนการครองชีพที่สูงมากสำหรับแรงงานในเมือง
เมื่อเทียบกับค่าเช่าบ้านในต่างจังหวัดที่ค่อนข้างต่ำ
และถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางในต่างจังหวัดจะสูงกว่าใน กทม.
แต่อาจถูกชดเชยโดยการไม่เสียค่าที่พัก
เพราะแรงงานสามารถพักอาศัยที่บ้านของตนเองได้
นอกจากนี้แรงงานในต่างจังหวัดยังมีโอกาสลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ได้อีก
เช่น การหาอาหารได้จากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ เป็นต้น
สำหรับ
ผมแล้ว
ผมเคยนำเสนอแนวคิดของผมเกี่ยวกับระบบการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำไว้ในบทความ
เรื่อง “กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร..จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด?”
เผยแพร่ในเว็บไซต์ของผม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2548ซึ่งโดยสรุปแล้ว
ผมคิดว่าสิ่งที่ภาครัฐควรทำในเรื่องนี้ คือ
พัฒนาเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างค่าจ้างแรงงานโดย
เฉพาะการจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจ (Economic model)
เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ
โดยมีการคำนึงถึงประเด็นเรื่องผลิตภาพของแรงงานอย่างเหมาะสม
ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลดี-ผลเสียของการปรับอัตราค่าจ้าง
และทำให้กระบวนการกำหนดอัตราค่าจ้างมีผลการศึกษาวิเคราะห์รองรับและมีความ
เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องใช้ดุลพินิจหรืออำนาจต่อรองของภาคีต่าง ๆ
แต่เกิดจากการคำนวณบนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความสงสัยของสังคม
รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้างได้อีกด้วย
กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายอำเภอและรายอุตสาหกรรมตาม
ที่ได้อธิบายเหตุผลไปข้างต้นว่าไม่ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกพื้นที่
และทุกอุตสาหกรรม ยิ่งกว่านั้นผมคิดว่าควรให้เจาะจงในรายพื้นที่
ซึ่งหากมีการพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจลงรายละเอียดมากกว่ารายจังหวัด
โดยอาจแยกย่อยเป็นรายอำเภอได้จะยิ่งดี
เนื่องจากแต่ละพื้นที่ในประเทศหรือแม้แต่ในจังหวัดเดียวกันอาจมีค่าครองชีพ
แตกต่างกัน
การพิจารณาข้อมูลลงลึกรายอำเภอจะสะท้อนต้นทุนแรงงานที่แท้จริงได้ดีกว่า
โดย
สรุปแล้วการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐในลักษณะนี้จะเป็นประเด็นถกเถียง
และอภิปรายเรื่อยไปในทุกครั้ง หากยังคงระบบและวิธีการแบบเดิมเอาไว้
ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่ “ง่าย”กว่าการแก้ไข ซึ่งต้องลงแรง อีกทั้งยัง
“ได้คะแนนเสียง”จากประชาชน (แม้ว่าค่าจ้างจะขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม)
ผมหวังว่าผมจะได้เห็นการช่วยเหลือประชาชนที่แท้จริงจากภาครัฐมากกว่าการให้ความหวังแก่ประชาชนไปวันๆ เท่านั้น
ได้รับการตีพิมพ์จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจคอลัมน์:ทรรศนะวิจารณ์ วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553